วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2554

กฎหมายปกครอง

กฎหมายปกครอง (อังกฤษ: Administrative law) ได้แก่ กฎหมายที่ให้อำนาจทางปกครองกับหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ใช้อำนาจทางปกครอง กฎหมายปกครองมีลักษณะพิเศษคือผู้ที่ใช้อำนาจหรือออกคำสั่งทางปกครองได้ต้องเป็นหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่เท่านั้น จะมีข้อยกเว้นก็ในกรณีที่ผู้ใช้อำนาจทางปกครองนั้นไม่ใช่บุคคลที่กล่าวมาแล้ว แต่เบื้องต้นจะใช้อำนาจทางปกครองได้ต้องเป็นบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจทางปกครองได้เป็นกรณีไป เช่น บุคคลที่ได้รับสัญญาทางปกครองกับรัฐ และเมื่อมีกรณีพิพาทขึ้นจะต้องนำคดีเข้าสู่ศาลปกครอง ซึ่งคู่พิพาทจะต้องเป็นคู่กรณีดังต่อไปนี้ คือ หน่วยงานทางปกครอง หน่วยงานทางปกครองเจ้าหน้าที่ กับหน่วยงานทางปกครองกับเอกชน เจ้าหน้าที่กับเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่กับเอกชน และผู้ที่จะฟ้องต่อศาลปกครองได้ต้องเป็นผู้เสียหายโดยตรงตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองมาตรา 42วรรคหนึ่ง กฎหมายที่กำหนดถึงรายละเอียดในการปกครองลดหลั่นกันลงมาจากกฎหมายรัฐธรรมนูญ กล่าวคือกฎหมายรัฐธรรนูญเป็นกฎหมายว่าด้วยการปกครองประเทศ แต่กฎหมายปกครองนั้นเป็นกฎหมายดำเนินการปกครอง ซึ่งกฎหมายปกครองนี้จะกล่าวถึงการจัดระเบียบแห่งองค์การทางปกครอง เช่น การจัดแบ่งออกเป็น กระทรวง ทบวง กรม เป็นต้น ระหว่างองค์การเหล่านี้ซึ่งมีต่อกันและกันและเป็นเกี่ยวพันระหว่างองค์กรเหล่านี้กับราษฎร กฎหมายปกครองถูกจัดให้อยู่ในหมวดหมู่กฎหมายมหาชน ในประเทศไทย มีหนังสือกฎหมายปกครองให้ศึกษากันหลายเล่ม หลายผู้เขียน นักวิชาการที่มีชื่อเสียงในด้านนี้ ได้แก่ ดร.อมร จันทรสมบูรณ์, ดร.ประยูร กาญจนดุลย์ ดร.ชาญชัย แสวงศักดิ์, ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์, ดร.วรพจน์ วิศรุตพิชญ์ ฯลฯ มีหลายสำนักพิมพ์ที่จัดพิมพ์ผลงานของนักวิชาการด้านกฎหมายปกครองออกมาเผยแพร่ ได้แก่ สำนักพิมพ์วิญญูชน สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำนักพิมพ์นิติธรรม สำนักพิมพ์นิติบรรณการ ฯลฯ


กฎหมายปกครอง เป็น กฎหมายมหาชน กฎหมายมหาชน เป็น กฎหมายกฎหมายที่กำหนดสถานะและความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน ในฐานนะที่รัฐหรือหน่วยงานของรัฐเป็นผู้ปกครองมีอำนาจเหนือเอกชน หรือระหว่างรัฐ หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกันเอง 
     กฎหมายปกครอง จึงเป็น กฎหมายมหาชน ที่วางหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจัดระเบียบบริหารของรัฐ การดำเนินกิจกรรมของฝ่ายปกครองในการจัดบริการสารธารณะ และวางหลักความเกี่ยวพันในทางปกครองระหว่างฝ่ายปกครองกับเอกชน และฝ่ายปกครองด้วยกันเอง รวมทั้งกำหนดสถานะและการกระทำทางปกครอง 

ในระบบการปกครองประเทศแบ่งองค์กรที่ใช้อำนาจเป็น 3 ฝ่าย 
- ฝ่ายนิติบัญญัติ 
- ฝ่ายบริหาร 
- ฝ่ายตุลาการ 

ฝ่ายปกครองเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ในฝ่ายบริหาร งานของฝ่ายบริหารแยกเป็น 2 ส่วน คือ 

1. งานทางการเมือง มีพระมหากษัตริย์ใช้อำนาจผ่านทางคณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นรัฐบาล ทำหน้าที่กำหนดนโยบายในการใช้ ข้อบังคับกฎหมายต่างๆ 
2. งานทางปกครอง เป็นส่วนที่เรียกว่า ราชการประจำ มีหน้าที่เป็นผู้ปฏิบัติตามนโยบายที่ฝ่ายบริหารในส่วนที่เป็นการเมืองกำหนดขึ้น คือ 
- ราชการส่วนกลาง คือ กระทรวง ทบวง กรม 
- ราชการส่วนภูมิภาค คือ จังหวัด อำเภอ 
- ราชการส่วนท้องถิ่น มี 2 รูปแบบ 
               1. รูปแบบทั่วไป คือ องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบล เทศบาล 
               2. รูปแบบพิเศษ คือ กรุงเทพมหานคร พัทยา 

- รัฐวิสาหกิจ 

- องค์กรอิสระ เป็นองค์กรของรัฐที่ไม่ใช่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เป็นองค์กรที่อิสระจากการควบคุมของฝ่ายบริหาร(รัฐบาล)โดยตรง เนื่องจากภารกิจของหน่วยงาน เช่นธนาคารแห่งประเทศไทย 

- คณะกรรมการต่างๆ 

แนวคิดพื้นฐานของกฎหมายปกครอง คือ ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ 

1. รัฐโดยองค์กรของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นผู้ดูแลรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมของคนหมู่มากในสังคมหรือประโยชน์สาธารณะ 
2. ในกรณีที่ประโยชน์ส่วนตัวของเอกชนสอดคล้องกับประโยชน์ส่วนรวมหรือประโยชน์สาธารณะ รัฐก็ใช้นิติสัมพันธ์ตามกฎหมายเอกชนได้ 
3. ในกรณีที่ประโยชน์ส่วนตัวของเอกชนไม่สอดคล้องกับประโยชน์สาธารณะจะต้องให้ประโยชน์สาธารณะอยู่เหนือประโยชน์ส่วนตัวของเอกชน 
4. ถ้าเอกชนไม่ยินยอมที่จะสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อประโยชน์สาธารณะ ก็จะต้องให้รัฐโดยองค์กรของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีอำนาจบังคับเอกชนเพื่อประโยชน์สาธารณะได้ 

กิจกรรมของฝ่ายปกครอง แบ่งเป็น 

1. การกระทำทางแพ่ง คือ สัญญาทางแพ่ง เช่นองค์กรของรัฐซื้อคอมพิวเตอร์ 
2. การกระทำทางปกครอง คือ ผลิตผลของการใช้อำนาจรัฐตามกฎหมายขององค์กรหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายปกครอง การกระทำทางปกครอง แบ่งเป็น 

- นิติกรรมทางปกครอง 
- ปฏิบัติการทางปกครอง 

นิติกรรมทางปกครอง

1. นิติกรรมฝ่ายเดียว คือ กฎ คำสั่งทางปกครอง 
2. นิติกรรมหลายฝ่าย คือ สัญญาทางปกครอง 

ลักษณะของนิติกรรมทางปกครอง 

1. เป็นการกระทำขององค์กรของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายปกครอง ที่กระทำโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติ เพื่อแสดง 
เจตนาให้ปรากฏต่อบุคคล 

2. เจตนาที่แสดงออกมานั้น ต้องมุ่งหมายที่จะให้เกิดผลทางกฎหมายอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น เช่น ถ้าหน่วยงานราชการมีหนังสือ เตือน ให้คุณมาต่อใบอนุญาต แบบนี้ไม่เป็นนิติกรรมทางปกครอง เพราะไม่ได้มุ่งให้เกิดผลทางกฎหมาย คุณจะต่อหรือไม่ต่อก็เรื่องของคุณ 
3. ผลทางกฎหมายที่มุ่งหมายให้เกิดขึ้น คือ การสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล 2 ฝ่าย โดยฝ่ายหนึ่งมีอำนาจ หรือสิทธิเรียกร้องให้อีกฝ่ายหนึ่งกระทำ หรืองดเว้นการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด ซึ่งมีผลเป็นการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของอีกฝ่ายหนึ่ง เช่น ถ้าอธิบดีกรมการปกครองอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติข้าราชการพลเรือน 2535 ออกคำสั่งแต่งตั้งบุคคลให้เป็นปลัดอำเภอ เท่านี้ก็เกิดนิติสัมพันธ์แล้ว ระหว่างอธิบดีกรมการปกครองกับบุคคลที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นปลัดอำเภอ ถือว่าเป็นการก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่ต่อกัน หรือ ถ้าคู่กรณีเดิมปลัดอำเภอทำความผิดร้ายแรง อธิบดีกรมการปกครองไล่ออก ผลทางกฎหมาย คือ ระงับสิ้นสุดสิทธิและหน้าที่ต่อกัน ถึงแม้จะเป็นการระงับ แต่ผลทางกฎหมายก็เกิดขึ้น คือ สิทธิและหน้าที่ของอีกฝ่ายสิ้นสุดลง 
4. นิติสัมพันธ์ดังกล่าวเกิดขึ้นโดยการแสดงเจตนาฝ่ายเดียวขององค์กรของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายปกครอง โดยที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่จำเป็นต้องให้ความยินยอม ถ้าเมื่อไหร่ที่มีการแสดงเจตนาทั้ง 2 ฝ่าย เมื่อนั้นจะไม่ใช่นิติกรรมทางปกครอง แต่จะแปรสภาพเป็น สัญญาทางปกครอง เช่น ก.ไปยื่นคำขอพกอาวุธปืน ในทางปกครองถือว่าการยื่นคำขอไม่ใช่คำเสนอ และเมื่อฝ่ายปกครองอนุญาตก็ไม่ใช่คำสนอง การที่มีขั้นตอนยื่นคำขอเข้าไปก่อน เรียกว่า เงื่อนไขความสมบูรณ์ของนิติกรรมทางปกครอง เป็นเงื่อนไขว่าถ้าไม่ทำตามขั้นตอนเช่นนี้นิติกรรมทางปกครองก็ไม่สมบูรณ์เมื่อขาดลักษณะใดลักษณะหนึ่งของนิติกรรมทางปกครองก็จะกลายเป็นปฏิบัติการทางปกครอง 

ประเภทของนิติกรรมทางปกครอง 

- กฎ เป็นบทบัญญัติที่มีผลเป็นการบังคับเป็นการทั่วไป โดยไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีใดหรือบุคคลใดเป็นการเฉพาะ เช่นพระราชบัญญัติ กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง ข้อบัญญัติท้องถิ่น ระเบียบ ข้อบังคับ 

- คำสั่งทางปกครอง เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล ในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว ที่มีผลบังคับแก่กรณีใดหรือบุคคลใดเป็นการเฉพาะ 

เงื่อนไขความสมบูรณ์ของนิติกรรมทางปกครอง 

1. อำนาจ เจ้าหน้าที่ที่ทำนิติกรรมต้องมีอำนาจ เป็นอำนาจที่กฎหมายให้มา 
2. แบบและขั้นตอนที่เป็นสาระสำคัญของการทำนิติกรรมทางปกครอง เพราะถ้าไม่ใช่สาระสำคัญก็จะไม่กระทบต่อความสมบูรณ์ของนิติกรรมทางปกครอง เช่น คำพิพากษาฎีกาที่ 3618/2535 
3. วัตถุประสงค์ นิติกรรมทางปกครองต้องมีวัตถุประสงค์ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ การใช้อำนาจรัฐต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ การกระทำของฝ่ายปกครองก็ต้องไม่ขัดต่อวัตถุประสงค์ที่กฎหมายเฉพาะกำหนดถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย 
4. ไม่บกพร่องเรื่องเจตนา จะต้องไม่เกิดจากการถูกฉ้อฉล ไม่สำคัญผิดหรือไม่ถูกข่มขู่ เช่น ผู้ขอสัมปทานร่วมกับเจ้าหน้าที่ระดับล่างบิดเบือนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสภาพพื้นที่ หัวหน้าหลงเชื่อก็สั่งการไป ก็เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ 
5. เงื่อนไขอื่นๆ เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด เช่น พระราชบัญญัติสถานบริการ มาตรา 21 วรรค 2 ว่าการสั่งพักใบอนุญาตสั่งได้ครั้งละ 30 วัน เพราะฉะนั้นจะสั่งพักใบอนุญาตในระยะเวลาที่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไม่ได้ 

กิจการที่ฝ่ายปกครองที่เป็นการกระทำทางปกครอง มี 2 ด้าน

1. กิจการในทางควบคุม เป็นการวางกฎเกณฑ์และบังคับให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์เพื่อความมั่นคง เพื่อการจัดการเรียบร้อย เป็นการที่ฝ่ายปกครองใช้อำนาจฝ่ายเดียวที่จะกำหนดให้ฝ่ายเอกชนต้องปฏิบัติตาม และบังคับให้ฝ่ายเอกชนที่ฝ่าฝืนต้องปฏิบัติตาม เช่น เจ้าพนักงานท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารฯ มีอำนาจออกระเบียบ ห้ามสร้างอาคารสูงเท่านั้นเท่านี้ เมื่อมีการฝ่าฝืนเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่มีอำนาจก็บังคับ โดยเข้ารื้อถอนอาคาร การที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารฯ ออกระเบียบ เป็นนิติกรรมทางปกครองประเภทกฎ เพราะมีผลบังคับเป็นการทั่วไป การที่เจ้าพนักงานไปรื้ออาคารที่สร้างฝ่าฝืนเป็นการปฏิบัติการทางปกครอง 
2. กิจการในทางบริการ เช่น 
- กิจกรรมเพื่อความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สิน เช่น การป้องกันประเทศ 
- กิจการเพื่อความสงบเรียบร้อย เช่น การสาธารณสุข การศึกษา 
- กิจการเพื่อความสะดวกสบายของประชาชน เช่น ไฟฟ้า ประปา ถนน โทรศัพท์ สัญญาจ้างก่อสร้างถนน วางท่อประปา เป็นสาธารณูปโภคอย่างหนึ่ง และเป็นไปเพื่อสาธารณประโยชน์ 

แนวคิดพื้นฐานของกฎหมายปกครอง คือ ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ 1. รัฐโดยองค์กรของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นผู้ดูแลรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมของคนหมู่มากในสังคมหรือประโยชน์สาธารณะ 2. ในกรณีที่ประโยชน์ส่วนตัวของเอกชนสอดคล้องกับประโยชน์ส่วนรวมหรือประโยชน์สาธารณะ รัฐก็ใช้นิติสัมพันธ์ตามกฎหมายเอกชนได้ 3. ในกรณีที่ประโยชน์ส่วนตัวของเอกชนไม่สอดคล้องกับประโยชน์สาธารณะจะต้องให้ประโยชน์สาธารณะอยู่เหนือประโยชน์ส่วนตัวของเอกชน 4. ถ้าเอกชนไม่ยินยอมที่จะสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อประโยชน์สาธารณะ ก็จะต้องให้รัฐโดยองค์กรของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีอำนาจบังคับเอกชนเพื่อประโยชน์สาธารณะได้

วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ภูมิหลังงานวิจัย

           ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีมรดกทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ซึ่งได้มีการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษมาเป็นเวลาที่ยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นด้านวัฒนธรรม ภาษา อาหาร และการแต่งกาย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าแสดงให้เห็นถึงความเป็นไทยได้อย่างชัดเจน
สังคมไทยมีลักษณะเป็นสังคมเกษตรกรรม คนไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ แต่เนื่องจากสภาพภูมิประเทศ สภาพภูมิอากาศ และสภาพแวดล้อมมีลักษณะแตกต่างกัน ทำให้วิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่นมีความแตกต่างกันมาก จะเห็นได้จากการแต่งกายของคนไทยมีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น ในอดีตเครื่องแต่งกายของคนไทยจะนิยมใช้วัสดุจากธรรมชาติ เช่น หนังสัตว์ หม่อน และไหม รวมทั้งมีการแต่งกายตามสภาพภูมิอากาศและภูมิประเทศของแต่ละท้องถิ่น       เช่น การสวมเสื้อผ้าที่บางในฤดูร้อน การสวมเสื้อผ้าหนาในฤดูหนาว เป็นต้น การแต่งกายของคนไทยนั้นได้มีการสืบทอดต่อกันมาเป็นเวลานาน  จนกลายเป็นพัฒนาการขั้นตอนการผลิตเครื่องแต่งกายมีรูปแบบที่หลายหลายขึ้น และกลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปมากขึ้น อาทิ ผ้าไหม ผ้ามัดหมี่ ผ้าซิ่น เป็นต้น  ซึ่งผ้าไหมถือได้ว่าเป็นเครื่องแต่งกายประจำชาติไทย กรรมวิธีการทอผ้าของแต่ละท้องถิ่นจะมีความแตกต่างกัน แสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของท้องถิ่น สะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญาและวิถีชีวิตของ             แต่ละท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี ซึ่งมีลวดลายที่สวยงามและประณีตมาก ต่อมาได้มีวิวัฒนาการกรรมวิธีการทอผ้าโดยนำเทคโนโลยีที่มีความทันสมัยเข้ามาช่วยในการผลิต และได้มีการปรับปรุงลวดลายให้มีความทันสมัยและเป็นสากลมากขึ้น มีการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมตะวันตกเข้ากับวัฒนธรรมไทยได้อย่าง    ลงตัว  ทำให้ต่างชาติมีความสนใจที่จะแต่งกายด้วยผ้าไหมไทยมากขึ้น ในทางกลับกันคนไทยไม่นิยมแต่งกายด้วยผ้าไทย แต่มีการแต่งกายตามแบบสังคมตะวันตก จะเห็นได้จากการที่คนไทยนิยมซื้อเสื้อผ้าของต่างประเทศมาสวมใส่ และวัยรุ่นไทยส่วนใหญ่มักแต่งกายตามกระแสของสังคมตะวันตก
สภาพของสังคมไทยในปัจจุบันมีค่านิยมการแต่งกายที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นสังคมที่มีการเลียนแบบการแต่งกายจากสื่อต่างๆ เริ่มมีการรับอิทธิพลและวัฒนธรรมของชาติตะวันตกเข้ามามากขึ้น ทำให้การ           แต่งกายของคนไทยเริ่มเปลี่ยนแปลงไปตามสมัยนิยมของสังคมตะวันตก จะเห็นได้จากการที่คนไทยทั่วไปนิยมสวมเสื้อยืด กางเกงยีนส์  ส่วนข้าราชการและนักธุรกิจก็มักจะสวมชุดสูททำงาน ขณะเดียวกันการ             แต่งกายของนิสิตนักศึกษาได้มีการแต่งกายที่ผิดระเบียบของทางมหาวิทยาลัยมากขึ้น เช่น ผู้หญิงนุ่งกระโปรงสั้น สวมเสื้อที่รัดรูป  ผู้ชายมักจะสวมเสื้อนักศึกษากับกางเกงยีนส์  และการแต่งกายของวัยรุ่นไทยมีการแต่งกายที่ล่อแหลมมากขึ้น เช่น การนุ่งกางเกงขาสั้น การสวมเสื้อไม่มีแขน  การแต่งกายลักษณะนี้อาจจะกลายเป็นปัญหาสังคมด้านอื่นตามมา เช่น ก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรมต่างๆ นอกจากนี้วัยรุ่นไทยยังนิยมแต่งกายตามสมัยนิยมของต่างประเทศ มีการแต่งกายตามแบบดารา นักร้องของต่างประเทศ                    จนทำให้ลืมการแต่งกายแบบไทย เอกลักษณ์ความเป็นไทย  และในที่สุดการแต่งกายแบบไทยก็จะ                 สูญหายไปจากสังคมไทย
ปัญหาการแต่งกายของคนไทยที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นกลายเป็นปัญหาเรื้อรังของสังคมไทย ที่ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ และยังไม่มีวิธีการแก้ไขปัญหาที่มีความชัดเจน วัยรุ่นหลายคนอาจจะมองว่า          การแต่งกายแบบไทย เป็นสิ่งที่ล้าสมัย เป็นสิ่งที่น่าอับอาย แต่ในความเป็นจริงการแต่งกายแบบไทย เป็นสิ่ง       ที่ควรยกย่อง สนับสนุนและส่งเสริมให้มีการแต่งกายแบบไทย  ด้วยเหตุนี้ กระทรวงวัฒนธรรมจึงเล็งเห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการแต่งกายของคนไทยที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้มีการกำหนดนโยบายรณรงค์         ให้นักเรียน นิสิตนักศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการแต่งกายด้วยผ้าไทยหรือชุดประจำถิ่นสัปดาห์              ละหนึ่งครั้ง เพื่อสืบสานเอกลักษณ์ของชาติไทย เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เยาวชนรู้จักผ้าไทย และสืบสานเอกลักษณ์ของไทยไม่ให้สูญหายไปจากสังคม ซึ่งปัจจุบันก็มีหลายโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานครที่จัดให้นักเรียนแต่งกายชุดท้องถิ่น หรือผ้าไทยสัปดาห์ละหนึ่งครั้งอยู่แล้ว  ส่วนระบบอุดมศึกษาได้มีการ                         ดำเนินการตามนโยบายนี้ไปแล้วบ้าง เช่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยราชภัฎลำปาง เป็นต้น                                  (www.m-culture.go.th. วันที่ 22 มิถุนายน 2554 เวลา 00.50 .)
จังหวัดมหาสารคามเป็นพื้นที่หนึ่งที่การจัดตั้งสถานศึกษาขึ้นเป็นจำนวนมาก และได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งการศึกษา เมืองแห่งการเรียนรู้ ทั้งด้านพุทธศาสนา วัฒนธรรม และประเพณีที่ดีงาม มหาวิทยาลัยมหาสารคามมีนิสิตจำนวน 37,776 คน  (กองทะเบียนและประมวลผลมหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2554 : 6) ถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยหนึ่งที่มีนิสิตเข้าศึกษาเป็นจำนวนมาก ซึ่งมหาวิทยาลัยมหาสารคามได้มีการจัดจำหน่ายชุดนิสิตที่ถูกต้องตามระเบียบของมหาวิทยาลัย  แต่นิสิตส่วนมากไม่ปฏิบัติตามระเบียบของมหาวิทยาลัย จะเห็นได้จากการที่นิสิตนิยมสวมเสื้อกิจกรรม เสื้อชมรม และกางเกงยีนส์มาเรียนเป็นจำนวนมาก สาเหตุส่วนใหญ่จะมาจากการแต่งกายเครื่องแบบนิสิตไม่เหมาะกับสภาพแวดล้อม สภาพภูมิอากาศของจังหวัดมหาสารคาม  กอปรกับทางมหาวิทยาลัยมหาสารคามยังมีการบังคับใช้ระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการแต่งกายของนิสิตที่ไม่เคร่งครัด สิ่งที่สามารถบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้นได้คือการออกแบบชุดอนุรักษ์วัฒนธรรม  และมีการรณรงค์ให้นิสิตสวมใส่ชุดอนุรักษ์วัฒนธรรมสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง เพื่อเป็นการบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่นของจังหวัดมหาสารคาม และเป็นการอนุรักษ์และสืบสานเอกลักษณ์ความเป็นไทย นอกจากนี้ยังเป็นการดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงศึกษาธิการ
ดังนั้นคณะผู้ศึกษาจึงสนใจศึกษาประเด็นที่เกี่ยวกับการรณรงค์ให้นิสิตนักศึกษาสวมชุดอนุรักษ์วัฒนธรรม เพื่อศึกษาทัศนคติของนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคามที่มีต่อการแต่งกายชุดอนุรักษ์วัฒนธรรม  คณะผู้ศึกษาจึงได้เลือกทำการวิจัยเรื่อง ทัศนคติของนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคามที่มีต่อการแต่งกาย               ชุดอนุรักษ์วัฒนธรรม ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อมหาวิทยาลัยมหาสารคามเพื่อศึกษาทัศนคติของนิสิตที่มีต่อการแต่งกายชุดอนุรักษ์วัฒนธรรม และเพื่อนำความต้องการและทัศนคติของนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคามมาเป็นแนวทางในการส่งเสริม พัฒนา และปรับปรุงให้ตรงความต้องการของนิสิตได้                                  

วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554

พรบ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550

พรบ. คอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐  กับชาว IT
--------------------------------------------------------------------------------
เมื่อได้อ่าน พรบ. ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์แล้ว เริ่มเครียดครับ เนื่องจาก ผู้ให้บริการ Hosting และ Webprograming ต้องยุ่งยากในการเขียนเก็บข้อมูลของผู้เข้ามาใช้งาน ว่าโดยเฉพาะการ เช็ค IP , วันเวลาที่เข้ามาใช้งาน และอีกหลาย ๆ อย่างซึ่งนอกจากเรื่องการพัฒนาโปรแกรมแล้ว ยังต้องมีการเก็บไฟล์ซึ่งทำให้ฐานข้อมูลโตขึ้นอีกด้วย ทั้งยังเว็บบอร์ด อันเป็นที่นิยมของเหล่านักโพส ทั้งหลาย ซึ่งวันนึง วันนึง ไม่รู้มีใครมาโพส เป็นจำนวนร้อย - พัน ต่อวัน คราวนี้เหล่าชาวเว็บมาสเตอร์ และผู้ดูแลโฮสติ้ง ต้องหนาว ๆ ร้อน ๆ ไปตาม ๆ กัน ต่อไป ใครทำอาชีพเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ขาข้างนึงคงก้าวเข้าไปอยู่ในคุกล่ะนะครับ
พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐ เอกสาร ผ่านการเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติ การลงพระปรมาภิไธย และการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เมื่อ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๐ และจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๐
พระราชบัญญัตินี้ จะมีผลกระทบกับผู้ใช้คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต โดยทั่วไป เพราะหากท่านทำให้เกิดการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ (ไม่ว่าจะบังเอิญหรือตั้งใจ) ก็อาจจะมีผลกับท่าน และที่สำคัญ คือผู้ให้บริการ ซึ่งรวมไปถึงหน่วยงานต่างๆที่เปิดบริการอินเทอร์เน็ตให้แก่ผู้อื่นหรือกลุ่มพนักงาน/นักศึกษาในองค์กร ท่านมีหน้าที่หลายอย่าง ในฐานะ "ผู้ให้บริการ"
พระราชบัญญัตินี้ จะมีผลกระทบกับผู้ใช้คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต โดยทั่วไป เพราะหากท่านทำให้เกิดการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ (ไม่ว่าจะบังเอิญหรือตั้งใจ) ก็อาจจะมีผลกับท่าน และที่สำคัญ คือผู้ให้บริการ ซึ่งรวมไปถึงหน่วยงานต่างๆที่เปิดบริการอินเทอร์เน็ตให้แก่ผู้อื่นหรือกลุ่มพนักงาน/นักศึกษาในองค์กร ท่านมีหน้าที่หลายอย่าง ในฐานะ "ผู้ให้บริการ"
ผู้ใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต
ในฐานะบุคคลธรรมดาท่านไม่ควรทำในสิ่งต่อไปนี้ เพราะอาจจะเป็นหนทางที่ทำให้ท่าน "กระทำความผิด" ตาม พรบ.นี้
อย่าบอก password ของท่านแก่ผู้อื่น
อย่าให้ผู้อื่นยืมใช้เครื่องคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อเข้าเน็ต
อย่าติดตั้งระบบเครือข่ายไร้สายในบ้านหรือที่ทำงานโดยไม่ใช้มาตรการการตรวจสอบผู้ใช้งานและการเข้ารหัสลับ
อย่าเข้าสู่ระบบด้วย user ID และ password ที่ไม่ใช่ของท่านเอง
อย่านำ user ID และ password ของผู้อื่นไปใช้งานหรือเผยแพร่
อย่าส่งต่อซึ่งภาพหรือข้อความ หรือภาพเคลื่อนไหวที่ผิดกฎหมาย
อย่า กด "remember me" หรือ "remember password" ที่เครื่องคอมพิวเตอร์สาธารณะ และอย่า log-in เพื่อทำธุรกรรมทางการเงินที่เครื่องสาธารณะ ถ้าท่านไม่ใช่เซียนทาง computer security
อย่าใช้ WiFi (Wireless LAN) ที่เปิดให้ใช้ฟรี โดยปราศจากการเข้ารหัสลับข้อมูล
อย่าทำผิดตามมาตรา ๑๔ ถึง ๑๖ เสียเอง ไม่ว่าโดยบังเอิญ หรือโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ทำไมเราจึงควรปฏิบัติตามคำแนะนำข้างบนนี้? เชิญอ่านรายละเอียดเต็มๆ เกี่ยวกับสิ่งที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตไม่ควรทำ เพื่อทราบเหตุผล และความผิดที่เกี่ยวข้อง
ผู้ให้บริการ
ผู้ให้บริการ อาจจะเป็นท่าน หรือหน่วยงานของท่าน ผู้ให้บริการมีหน้าที่และสิ่งที่ต้องทำมากกว่าบุคคลทั่วไป สิ่งที่ท่านต้องเข้าใจ คือ
ผู้ให้บริการ นอกจากจะหมายถึง Internet Service Provider ทั่วไปแล้ว ยังหมายถึง ผู้ดูแลเว็บ และครอบคลุมถึงหน่วยงานที่มีการจัดบริการออนไลน์ บริการใช้อินเทอร์เน็ตและเครือข่ายทั่วไปในหน่วยงานของตนเองอีกด้วย เจ้าของร้านอินเทอร์เน็ต เจ้าของเว็บไซต์ รวมทั้งเจ้าของเว็บบอร์ด ล้วนแล้วเข้าข่ายที่จะเป็นผู้ให้บริการทั้งสิ้น หากท่านเปิดบริการให้สาธารณชน เข้ามาใช้บริการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต หรือสามารถแพร่ข้อความ ภาพ และเสียง ผ่านเว็บที่ท่านเป็นเจ้าของ
ผู้ให้บริการตามกฎหมายนี้ ต้องทำตามหน้าที่ของ ผู้ให้บริการ ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติฯนี้ กล่าวคือ
"มาตรา ๒๖ ผู้ให้บริการต้องเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ไว้ไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน นับแต่วันที่ข้อมูลนั้นเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ แต่ในกรณีจำเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่จะสั่งให้ผู้ให้บริการผู้ใดเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ไว้เกินเก้าสิบวัน แต่ไม่เกินหนึ่งปีเป็นกรณีพิเศษ เฉพาะรายและเฉพาะคราวก็ได้
ผู้ให้บริการจะต้องเก็บรักษาข้อมูลของผู้ใช้บริการเท่าที่จำเป็นเพื่อให้สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการนับตั้งแต่เริ่มใช้บริการ และต้องเก็บรักษาไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าเก้าสิบวันนับตั้งแต่การใช้บริการสิ้นสุดลง...
ผู้ให้บริการผู้ใดไม่ปฎิบัติตามมาตรานี้ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าแสนบาท"
เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำหน้าที่ของผู้ให้บริการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จะออกประกาศ เรื่องหลักเกณฑ์การเก็บรักษา Traffic data ของผู้ให้บริการ เพื่อให้ผู้ให้บริการทุกแบบ สามารถทำหน้าที่เก็บ logfile ของข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ได้ตรงตามความจำเป็นขั้นต่ำ ประกาศดังกล่าวนี้ ยังเป็นหนทางที่จะทำให้เกิดธุรกิจบริการรับฝากข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ขึ้นได้ เพราะจะมีผู้ให้บริการขนาดเล็กจำนวนมาก ที่ไม่สามารถทำตาม พรบ.นี้ได้ด้วยตนเอง
(อาจมีประกาศอื่นตามมาอีก)
หลักในการเก็บข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับกฎหมายนี้
ในการจัดเก็บข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ให้น่าเชื่อถือ ขอให้ท่านยึดหลักการง่ายๆดังนี้
ข้อมูลที่เก็บ ต้องมีรายการที่สามารถระบุว่า ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ เป็นใคร เข้ามาทางเครือข่ายทางประตูใด มีหมายเลข IP อะไร ใช้โปรแกรมประยุกต์อะไร ในห้วงเวลาใด
นาฬิกาของเครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์สื่อสาร ต้องมีการตั้งเวลาให้ตรงกับนาฬิกาอะตอมที่ใช้อ้างอิง เช่น ที่ NIST (สหรัฐอเมริกา) กรมอุทกศาสตร์ (กองทัพเรือ) สถาบันมาตรวิทยา (กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) หรือใช้เทียบเวลากับเครื่อง time server ผ่านทางอินเทอร์เน็ต เช่น เนคเทค (ntp://clock.nectec.or.th) ซึ่งอุปกรณ์เครือข่ายทั่วไป รวมทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์มาตรฐานทั่วไป สามารถตั้งเวลาให้ตรงกับเวลามาตรฐานโลกได้ด้วยความแม่นยำในระดับ 1 มิลลิวินาทีหรือดีกว่านี้
ข้อมูลจราจร ต้องมีการจัดเก็บอย่างปลอดภัย ไม่เสี่ยงต่อการถูกแก้ไข หรือสื่อข้อมูลเสื่อมคุณภาพ ในระยะเวลาไม่น้อยกว่า 90 วัน

ที่มา  http://wiki.nectec.or.th/
และบางส่วนจาก http://www.oknation.net/blog/print.php?id=76772

การสร้างเว็บไซต์ โดยใช้ Google site

การสร้างเว็บไซต์ โดยใช้ Google site

ในการสร้างเว็บไซต์ในปัจจุบันถือว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญในโลกเทคโนโลยี ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในเรื่องของการเขียนสคริป ออกแบบเว็บไซต์ หรือว่าต้องเสียเงินค่าเช่า โฮสติงหรือโดเมนเนม ซึ่งในปัจจุบันมีการบริการเว็บไซต์ที่ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น ซึ่งครั้งนี้ผมจะทำการแนะนำการสร้างเว็บไซต์อย่างง่าย รวดเร็วและมีความปลอดภัย โดยใช้ Google Site พัฒนาโดย Google มาดูวิธีการสร้างกันนะครับว่าจะยากหรือง่ายแค่ไหนอย่างไร.....

  ก่อนอื่นเราจะต้องมี e-mail ของ Gmail ถ้าใครไม่มี สามารถดูได้ที่ Clip ข้างล่างนี้เลยครับ

Step 1 : ทำการสร้าง E-mail account ของ G-mail




Step 2 : ติดตั้ง Google site



Step 3 : การตั้งค่า Google site



Step 4 : การสร้างเมนูและเนื้อหาใน Google site



Step 5 : ทำการแทรกภาพและวิดีโอใน Google site



ที่มา http://www.nineplusdesign.com

สร้าง blog เก็บข้อมูลส่วนตัวฟรีที่ Blogger.com

สร้าง blog เก็บข้อมูลส่วนตัวฟรีที่ Blogger.com



Blog เป็นเครื่องมือสำหรับเขียนบันทึกเหตุการณ์ส่วนตัว ชื่อเต็มๆ มาจาก Weblog โดยคนที่เขียน blog เขาจะเรียกว่า blogger หรือ Weblogger ที่จริงแล้วจะเรียกชื่ออะไรคงไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเรามากนักเอาเป็นว่าให้พอรู้จักชื่อละกัน หากท้าวความย้อนกลับไปในอดีต คนที่จะทำเว็บไซต์ส่วนตัวจะต้องศึกษาเครื่องมือเขียนเว็บอย่าง HTML หรือหากจะให้ง่ายหน่อยก็ใช้ทูลสำเร็จรูปอย่าง Dreamweaver, Frontpage ในการสร้างเว็บขึ้นมา หลังจากสร้างเสร็จจะต้องไปขอพื้นที่เว็บฟรีเพื่ออัปโหลดข้อมูลในเครื่องเราขึ้นไปเก็บอีกทีหนึ่ง จึงจะมีเว็บของตัวเองได้
สำหรับ blog ไม่เป็นเช่นนั้นผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องนั่งเขียนโค้ด หรือนั่งสร้างเว็บเอง อีกทั้งไม่จำเป็นต้องไปขอพื้นที่เว็บฟรี ก็สามารถมีเว็บไว้บันทึกเหตุการณ์ส่วนตัวได้แล้ว อีกทั้งสามารถเปลี่ยนรูปพื้นหลัง (template) ได้ด้วย ปัจจุบัน blog กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ บริษัททั้งเล็ก ใหญ่ต่างก็ทำเว็บบล็อกบริการในบริษัท เพื่อให้พนักงานเขียนบล็อกส่วนตัวได้

* โดยในเนื้อหาใน Blog นั้นจะส่วนประกอบสามส่วนคือ 1.หัวข้อ (Title) 2. เนื้อหา (Post หรือ Content) 3.วันที่เขียน (Date)

ประโยชน์หลักของ blog
• เป็นศูนย์ความรู้ของบริษัท เพราะให้พนักงานแต่ละคนเขียนบล็อกส่วนตัวไว้ หากพนักงานท่านนั้นลาออกไป ความรู้ยังคงอยู่ที่บริษัทให้รุ่นน้องศึกษา
• ใช้รายงานเหตุการณ์ หรือผลการทำงานว่าแต่ละวันได้ทำอะไรบ้าง
• ใช้ติดตามความคืบหน้าของงาน กรณีมีการทำงานร่วมกัน
• ใช้สำหรับโชวร์ ผลงานส่วนตัว หรือไซต์ส่วนตัว
• ใช้ทำเว็บไซต์ส่วนตัว / เว็บดาราดัง (เราอาจจะเป็นแฟนพันธุ์แท้ ใครสักคนก็สามารถทำได้สบาย )
• ใช้ทำเว็บรวมสถานที่ท่องเทียวในตัวจังหวัด หรือในอำเภอเล็กๆ ตามต่างจังหวัด
• ...

ตัวอย่างเว็บไซต์ ในลักษณะ Weblog
• Mblog > weblog.manager.co.th
• OpenTLE Blog > blog.opentle.org
• Kapook Blog > www.kapookclub.com
• BlogGang > www.bloggang.com
• Exteen Blog > www.exteen.com
• MSDN Blogs > blogs.msdn.com
• Sun Blog > blogs.sun.com
• OracleAppsBlog > www.oracleappsblog.com
• Google Blog > googleblog.blogspot.com
• IBM Developer Blog > www-106.ibm.com/developerworks/blogs
การสมัครเขียนบล็อกฟรี ที่ Blogger.com

1. เข้าสมัครสมาชิกได้ที่เว็บไซต์ http://www.blogger.com/








2. คลิกที่เริ่มสร้างบล็อกที่ CREATE YOUR BLOG NOW








3. กรอกรายละเอียดส่วนตัว ชื่อล็อกอิน / รหัสผ่าน / ชื่อบล็อก / อีเมล์เสร็จแล้วคลิกปุ่ม Continue


4. ระบุรายละเอียดของบล็อกBlog title : ระบุชื่อบล็อกBlog address (URL) : ชื่อยูอาแอลสำหรับเรียกใช้งาน http://arnut.blogpot.comWorld Verification : พิมพ์รหัสที่ระบบบอกมาเสร็จแล้วคลิกปุ่ม Continue














5 . ระบบจะแสดง Template ให้เลือกใช้งานหลายแบบ ให้ทำการคลิกเลือก Template ที่ต้องการ
เสร็จแล้วคลิกปุ่ม Continue
















6 . ระบบแสดงข้อความกำลังทำการสร้าง blog ให้อยู่











7. ทำการสร้าง blog เสร็จแล้วให้คลิกปุ่ม START POSTING เพื่อทดสอบเข้าใช้งาน







8. พิมพ์รายละเอียดข้อความแรกในบล็อก หลังพิมพ์ฺเสร็จสามารถคลิก preview ดูผลก่อนได้
เสร็จแล้วคลิกปุ่ม Publish Post













9. เสร็จสิ้นการติดตั้งเว็บบล็อกให้คลิกที่ View Blog เพื่อดูผล








10. แสดงบล็อกส่วนตัวที่สร้างเสร็จแล้วสังเกต url ด้านบนจะเป็น http://arnut.blogspot.com/













11. ที่นี้กรณีที่ต้องการเขียน Blog เพิ่มเติม หรือเข้าไปแก้ไข Blog สามารถล็อกอินเข้าได้ที่
http://www.blogger.com/start    พิมพ์ชื่อ username / Password เสร็จแล้วคลิกปุ่ม SIGN IN เพื่อเข้าระบบ









12. จะเข้าสู่หน้าต่างผู้ดูแลบล็อกสำหรับแก้ไข และปรับแต่งข้อมูลต่างๆ ดังรูปทำการแก้ไขข้อมูลต่างๆ ตามต้องการ














สรุป ในการสร้างบล็อกนั้นสามารถทำได้สองแบบคือ
1. การติดตั้งโปรแกรมทำ Blog ขึ้นใช้งานเองสำหรับบริการพนักงานใน office เลย ตัวอย่างโปรแกรมสร้าง blog เช่น WordPress, b2evolution, Nucleus, pMachine, MyPHPblog, Movable Type, Geeklog, bBlog (วิธีนี้ท่านต้องมีเครื่องเว็บเซิร์ฟเวอร์ในการใช้งานเองอาจทำเป็น Intranet Blog หรือ Internet Blog ก็ได้)
2. การใช้งานบล็อกฟรี จากเว็บที่เปิดให้บริการ ปัจจุบันมีเว็บเปิดให้บริการหลายเว็บอาทิ เช่น Blogger.com (en), Bloglines.com (en), Exteen.com (th), Bloggang.com(th)*
      ในบทความนี้นำเสนอการสร้างบล็อกวิธีที่สองคือการใช้บล็อกฟรี โดยทดสอบจากเว็บ blogger.com    จะเห็นได้ว่าการมีเว็บบล็อกเป็นของตัวเองไม่ช่ายเรื่องยากอีกต่อไป อีกทั้งผู้เขียนไม่จำเป็นต้องเขียนเว็บเป็นก็สามารถมีบล็อกส่วนตัวได้แล้ว     โดยในการสร้างและเขียนบล็อกขึ้นมา ขึ้นอยู่กับสามัญสำนึกแต่ละท่าน   ผู้เขียนขอให้ใช้ประโยชน์จากบล็อกในเชิงสร้างสรรค์ และขอให้ทุกท่าน สนุกกับการเขียนบล็อกส่วนตัวครับ

ขอขอบคุณ  Write byA.Arnut Ruttanatirakul  CMSThailand Development team
http://www.cmsthailand.com

วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554

อินเตอร์เน็ตในชีวิตประจำวัน

อินเตอร์เน็ตในชีวิตประจำวัน






ปัจจุบันอินเตอร์เน็ตได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราแล้ว เราสามารถทราบข่าวสารเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ตได้จากหนังสือพิมพ์ วารสาร รายการวิทยุ และจากแหล่งข่าวสารมากมายทั่งทุกมุมโลก ทุกวันนี้มีหนังสือเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ตให้เราทำความรู้จักและศึกษาเพิ่มเติม หนังสือพิมพ์ต่างๆ ซึ่งไม่ใช่หนังสือเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ก็ยังลงบทความเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ต จึงทำให้เราเข้าใจเรื่องราวของอินเตอร์เน็ตและใช้งานจากอินเตอร์เน็ตมากขึ้น นอกจากนี้แล้วยังมีการเปิดสอนเป็นหลักสูตรในระดับปริญญาโทบนอินเตอร์เน็ต จากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศ สำหรับในประเทศไทยมีการจัดการเรียนการสอนเป็นบางรายวิชา เช่น การเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยเสมือนของนิสิตปริญญาโทโสตทัศนศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นต้น
ทุกวันนี้มีการสร้างโปรแกรมประยุกต์ใช้งานบนอินเตอร์เน็ตมากมาย มีสถานีให้บริการเว็บ เกิดขึ้นทั่วโลก ในแต่ละวันมีสถานีใหม่ๆ เกิดขึ้นให้เราเข้าไปใช้งาน จำนวนผู้เข้าใช้บริการเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ซึ่งหน่วยงานทั้งของรัฐและเอกชนต่างพยายามขวนขวายหาทางให้ตนเองมีหมายเลขบัญชีบนอินเตอร์เน็ต (Internet Account) หรือเป็นสาขาย่อย (Node) ของศูนย์บริการอินเตอร์เน็ต (Internet Service Provider, ISP) เพื่อบริการแก่เจ้าหน้าที่ พนักงานใหม่ในหน่วยงานของตน
อันตรายจากอินเตอร์เน็ต
ประเทศไทยมีการนำระบบอินเตอร์มาใช้หลายปี ส่วนใหญ่เป็นการใช้งานภายในหน่วยงานราชการ สถาบันการศึกษา ต่อมามีการนำเอามาใช้ในเชิงธุรกิจสำหรับบุคคลทั่วไป ในปี พ.ศ. 2537 แต่ไม่ได้รับความนิยม สำหรับปี พ.ศ. 2539 แตกต่างกันออกไป ผลจากการที่มีข่าวปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์ว่ามีการนำภาพดารามาตกแต่งเป็นภาพโป๊เปลือย แล้วนำไปแจกจ่ายบนอินเตอร์เน็ต กระแสความสนใจเกิดขึ้น ผู้คนทั่วไปเริ่มหันมาสนใจกับอินเตอร์มากขึ้นทุกที
อันตรายของอินเตอร์เน็ตที่พบเห็นได้เด่นชัดที่สุดน่าจะเป็นการใช้อินเตอร์เน็ต ผิดประเภทผิดวัตถุประสงค์ และใช้สื่อทางอินเตอร์เน็ตเพื่อกล่าวหาและโจมตีคู่แข่ง เพราะอินเตอร์เน็ตเป็นสื่อที่สามารถกระจายไปทั่วโลกได้อย่างรวดเร็ว
แต่อย่างไรอันตรายที่เกิดจากอินเตอร์เน็ตก็นับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับประโยชน์ที่เราจะได้รับ
World Wide Web, Web Pages, Web Site และ HTML
ในการบริการอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็น E – mail, FTP เป็นบริการที่ได้กว้างขวางและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บริการ www จะช่วยให้ผู้ที่ต้องการศึกษาหาความรู้จากแหล่งต่างๆ เข้าไปดูเอกสารซึ่งจะมีทั้งมีทั้งภาพและเสียง หรือภาพยนตร์ประกอบด้วยได้
เอกสารที่เราเปิดดูใน World Wide Web เรียกว่า เว็บเพจ (Web Pages) เรียกสั้นๆว่า เว็บ (Web) สร้างขึ้นจากภาษาคอมพิวเตอร์ที่เรียกชื่อว่า HTML (HyperText markup Language) ภาษา HTML จะกำหนดรูปแบบหน้าตาของเอกสารเว็บที่ปรากฏบนหน้าจอ และเชื่อมต่อกับเว็บเพจกับข้อมูลอื่นๆ
เอกสารแต่ละหน้ามีการเชื่อมต่อถึงกันในลักษณะที่เราสามารถเรียกดูเอกสารหนึ่งจากเอกสารฉบับอื่นได้ โดยในเว็บเพจจะมี Link เป็นคุณสมบัติที่ทำให้เว็บเพจแตกต่างจากเอกสารทั่วไป เพราะผู้อ่านสามารถโต้ตอบกับข้อมูลได้ โดยการคลิกเมาส์ เพื่อเปิดดูข้อมูลในส่วนที่ต้องการ
บางคนอาจคิดว่าเว็บเพจมีส่วนคล้ายหน้าหนังสือ แต่ที่จริงแล้วเว็บเพจมีความแตกต่างจากหนังสือโดยทั่วไป เพราะเว็บเพจเป็นสื่อที่สามารถโต้ตอบได้การใช้ Link ทำให้เว็บเพจ แตกต่างจากสิ่งพิมพ์อื่นๆ เพราะผู้ใช้สามารถเลือกดูเฉพาะข้อมูลที่ต้องการ โดยไม่ต้องสนใจข้อมูลมหาศาลในอินเตอร์เน็ต ข้อมูลในเว็บมีการเปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอ เช่น เว็บตลาดหุ้นจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นอกจากนั้นเว็บยังสามารถแสดงข้อมูลได้มากกว่าตัวอักษรหรือภาพเว็บเพจสามารถแสดงเสียง ภาพเคลื่อนไหว หรือภาพยนตร์ได้
แต่ละเว็บไซต์เมื่อพิจารณาดูก็คล้ายๆ หนังสือหนึ่งเล่มซึ่งประกอบด้วยหน้าหนังสือจำนวนมาก หน้าปกหนังสือมีความสำคัญมาก เพราะจะต้องสื่อเนื้อหาหลักของหนังสือในรูปแบบที่สะดุดตา และจูงใจให้คนเปิดอ่านถ้าเปรียบเว็บไซต์เหมือนหนังสือที่ประกอบด้วยเว็บเพจ จำนวนมากโฮมเพจ คือ เว็บเพจหน้าแรกที่มีหน้าที่คล้ายปกหนังสือ เมื่อเปิดดูโฮมเพจจะพบคำแนะนำการใช้งาน สรุปสิ่งที่น่าสนใจในเว็บไซต์ไปจนถึงหัวข้อที่เชื่อมต่อไปยังเว็บเพจอื่นๆ


URL, Web Broser
การเปิดดูเว็บเพจ จะต้องมีการระบุตำแหน่งที่เก็บเว็บเพจนั้นในอินเตอร์เน็ต เรียกว่า URL หรือ Uniform Resource Locatution ส่วนสำคัญของ URL มีดังนี้
โปรโตคอล จะแจ้งให้บราวเซอร์ทราบว่าต้องจัดการกับข้อมูลที่พบอย่างไร
สำหรับเว็บเพจโปรโตคอลมาตรฐานที่ใช้มีชื่อเรียกว่า HTTP (HyperText Transfer Protocol)
ชื่อเซิฟเวอร์ จะระบุชื่อของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เผยแพร่เว็บเพจ
บางครั้งส่วนนี้จะถูกเรียกว่า โดเมนเนม (Domain Name)
เซิฟเวอร์ทุกเครื่องจะมีโดเมนเนมเฉพาะที่ไม่เหมือนใคร
ชื่อเซิฟเวอร์อาจระบุแทนด้วยตัวเลขเฉพาะของมัน เช่น
195.121.237.1 เป็นต้น
การทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมเป็นเครือข่ายในระบบอินเตอร์เน็ต มีคอมพิวเตอร์ทั้งหมด 2 ประเภท ได้แก่ เครื่องดูแลเครือข่าย (Server) และเครื่องลูกข่าย (Client)
จึงเรียกเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมกับอินเตอร์เน็ตนี้ว่า Client Server Network
โปรแกรมสำหรับเข้า www เรียกว่า บราวเซอร์ (Web Broser) ปัจจุบันมีบราวเซอร์หลายรายที่ใช้สำหรับเปิดดูเว็บเพจถึงแม้แต่ละตัวมีคุณสมบัติคล้ายกัน แต่ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกัน เมื่อเปิดบราวเวอร์เพื่อดูเว็บเพจเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เราใช้จะทำหน้าที่เป็นลูกข่าย (Clint) ติดต่อกับเครื่องที่เก็บข้อมูลเว็บเพจที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องดูแลเครือข่าย (Server)
โปรแกรมบราวเซอร์ที่นิยมใช้ในปัจจุบันมี 2 กลุ่ม ได้แก่
- Internet Explorer ของบริษัทไมโครซอฟท์ ซึ่งสามารถทำงานร่วมกับโปรแกรมอื่นๆ ของตระกูลไมโครซอฟท์ เช่น Office 97 ได้อีกด้วย
- Netscape Navigator เป็นบราวเซอร์อีกตัวหนึ่งที่มีผู้ใช้จำนวนมาก เป็นของบริษัท Netscape Communication ซึ่งบราวเซอร์ทั้ง 2 ตัวนี้มีคุณสมบัติคล้ายกัน เราสามารถ download โปรแกรมทั้งสอง (รุ่นทดลองใช้) ได้จากเว็บไซต์ของบริษัททั้งสอง
เว็บไซต์ (Website) เป็นแหล่งที่รวมของเว็บเพจทั้งหมดที่จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันของหน่วยงาน หรือองค์กรหนึ่งๆ เมื่อใดที่ใช้โปรแกรมเปิดดูเว็บ (Web Browser Program) บราวเซอร์จะทำการติดต่อกับเว็บไซต์ที่เก็บเว็บเพจนั้น เพื่อทำการโอนย้ายเว็บที่ต้องการมายังเครื่องของผู้ใช้
Web Server คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เป็นแหล่งเก็บเว็บไซต์ที่ทุกคนสามารถใช้บราวเซอร์ติดต่อเพื่อขอดูเว็บเพจได้ เว็บเซิฟเวอร์ส่วนใหญ่จะติดต่อกับอินเตอร์เน็ตตลอดเวลาโดยใช้สายส่งความเร็วสูง เพื่อบริการผู้ที่เชื่อมต่อเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์

ขอขอบคุณ อ.ชัชวาลย์ ชุมรักษา ภาควิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ

ตารางปฏิทิน

อินเตอร์เน็ตกับการเมือง

ปัจจุบันจะเห็นได้ว่ากระแสของข่าวสารหรือข้อมูล ข่าวสารบนอินเตอร์เน็ตค่อนข้างแพร่หลาย และเกิดการไหลเวียนของข้อมูลข่าวสารได้เร็ว โดยเฉพาะสังคมโลกออนไลน (Social Network) ที่เข้าไปมีอิทธิพลกับคนทุกรุ่นทุกวัย และในอนาคตเชื่อว่าจะมีแนวโน้มเข้าไปอยู่ในกระแสเลือดของคนทั่วโลกมากขึ้น ชนิดที่ว่าหายใจเข้าออกเป็นอินเตอร์เน็ตหรือมองตัวเองผ่านโลกไซเบอร์อยู่ ตลอดเวลา ด้วยอิทธิพลและบทบาทของอินเตอร์เน็ตนี้เองทำให้เกิด "สื่อพลเมือง" ซึ่งในที่นี้ก็หมายความถึง "สื่อพลเมืองเน็ต" ไม่ว่าจะเป็น เว็บไซต์, อีเมล, ทวิตเตอร์, เฟซบุ๊ค และการติดต่อสื่อสารในยุดโลกาภิวัฒน์ ซึ่งก่อนหน้านี้คำว่าสื่อพลเมืองอาจจะไม่เป็นที่รู้จักมากนัก จะเกิดอาการส่ายหน้า เพราะแต่ก่อนคนธรรมดาทั่วไปจะเข้าถึงการสื่อสารแบบตัวต่อตัวหรือแบบเห็นหน้า กัน (face to face) แต่ปัจจุบันคนไทยกว่า 4.6 ล้านคน มีบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊ค (facebook.com) ที่เป็นการสื่อสารแบบสองทาง สะดวก เป็นกันเอง และให้ความบันเทิงได้ขณะเดียวกัน
ความเคลื่อนไหวในวงการอินเตอร์เน็ตนั้น แน่นอนว่าย่อมเกิดทั้งผลดี ผลเสีย หรือมีทั้งประโยชน์และโทษต่อสังคม ประชาชน โดยเฉพาะการเมืองที่ถูกนำมาเป็นเครื่องมือ ซึ่งได้ตอกย้ำความสำคัญของสื่อพลเมืองมากยิ่งขึ้น และจากเวทีการสัมนา "การเมืองเรื่องอินเตอร์เน็ตและภาระของตัวกลาง" ซึ่งจัดโดย เครือข่ายพลเมืองเน็ต (Thai Netizen Network) ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ และศูนย์ศึกษานโยบายสื่อ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ เมื่อวันที่ 17 พฤษจิกายน 53 ก็ได้นำเสนอประเด็นต่าง ๆ เกี่ยวกับการสื่อสารบนอินเตอร์เน็ต และหัวข้อที่น่าสนใจที่หยิบมานำเสนอก็คือ "พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์กับการเมืองเรื่องอินเตอร์เน็ต"
ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ มองในแง่ของนักรัฐศาสตร์ ซึ่งประเด็นที่สำคัญก็คือมองอินเตอร์เน็ตในฐานะสังคมใหม่สังคมหนึ่ง ถ้าคนมีมุมมองของสังคมวิทยาเข้ามากำกับก็ควรจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ด้วย หรือควรทำความเข้าใจธรรมชาติของสังคมอินเตอร์เน็ตแค่ไหน แน่นอนคือคงไม่มีคำตอบเดียว ประเด็นนี้ก็ถือเป็นประเด็นใหญ่ในสังคม กล่าวคือ เมื่อปี 2549 หากย้อนไปดูในงานวิจัยต่าง ๆ แล้ว ความสนใจเรื่องอินเตอร์เน็ตมีมานาน ก็เหมือนสังคมหนึ่งที่เกิดขึ้นมานาน หรือเมื่อ 40-50 ปีที่ผ่านมา เมื่อเราศึกษาสังคมมันก็จะมีอะไรใหม่ ๆ มีการเปลี่ยนแปลง (Modernization) มันมีสังคมใหม่ที่แตกต่างจากสังคมเดิม หรือมองว่ามันเป็นกรอบใหม่กับกรอบเก่า คือ จะโลกออนไลน์กับออฟไลน์มันต่อเนื่องกันอย่างไร ทั้งนี้โลกออฟไลน์ก็ไม่ได้ล้าสมัย แต่เสมือนมีอีกโลกหนึ่งเกิดขึ้นมา แต่ก่อนกรอบใหม่ที่เกิดขึ้นเพราะมันมีอะไรที่ตื่นเต้นในโลกอินเตอร์เน็ต มันไม่ใช่กรอบการเมืองที่แท้จริง
"แม้กระทั่งคำใหม่ที่เกิดขึ้น "ชิมิ" ที่หลายคนมองว่าเป็นวิบัติคำนั้น มันก็เกิดมาจากการพัฒนาด้านอินเตอร์เน็ต และเป็นพลวัฒน์ของสังคม เพราะคนใช้ต้องการความรวดเร็วขึ้น สะดวก ก็เลยเกิดการย่อคำ เทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องกับสังคม ซึ่งเป็นโลกที่คนโบราณใช้ไม่เป็น หากเราไม่เข้าใจพื้นฐานของสังคมวิทยาแล้ว เราก็เข้าใจการเมืองในอินเตอร์เน็ตยาก"
เมื่อก่อนการทำรัฐประหารเมื่อปี 2549 ต้องตั้งคำถามว่า อินเตอร์เน็ตเขามองเรื่องอะไร ส่วนใหญ่มองเป็นเรื่องวิตกว่าสังคมเป็นอย่างไร ซึ่งมันทับซ้อนกับสิ่งที่วิตกในสังคมอยู่แล้ว แต่คนรุ่นใหม่ที่ได้เครื่องมือใหม่ก้คืออินเตอร์เน็ต จากการศึกษาอินเตอร์เน็ตก็จะวนเวียนอยู่ 2 เรื่อง คือ ศึกษาในฐานะที่เป็นเครื่องมือ อีกแบบหนึ่งก็ศึกษาว่าโลกไซเบอร์เป็นอย่างไร ต่อมาเมื่อเทียบกันแล้วก็คือการเมืองในยุคนั้นเป็นอย่างไร เมื่อคนไทยเริ่มนิยมอินเตอร์เน็ต ช่วงแรกเริ่มประมาณ 1 ล้านคน เริ่มสนใจ เริ่มมีการถกเถียงกันมากขึ้น
"ทั้งนี้การเมืองในอินเตอร์เน็ตในยุคแรกค่อนข้าง มีลักษระเป็นสากล ประเด็นใหญ่ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณธรรม เรื่อเว็บโป้ ลามกอนาจารเป็นส่วนใหญ่ เครือข่ายผู้ปกครองจะเข้ามาดูมาก ถ้าเป็นสงครามในอินเตอร์เน็ตยุคนั้น รัฐยังไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นการต่อสู้ของคนที่เข้าไปใช้มากกว่า แต่ภายหลังรัฐก็ได้มีกรอบกฎหมายออกมา แต่ล่าช้ากว่า ประเด็นใหญ่กว่านั้นมันเป็นการสู้ภายในประชาสังคม โดยเฉพาะเรื่องศีลธรรมเพราะโลกอีนเตอร์เน็ตถูกแบ่งออกเป็น 2 โลก คือ โลกที่อยู่ในเว็บบอร์ด เป็นการใช้คำหยาบแต่ไม่มีการหมิ่นเบื้องสูง และโลกหนึ่งคือโลกที่ขาวสะอาดหรือเว็บที่ใช้เป็นเครื่องมือ"
จุดเปลี่ยนผันอันต่อมาคือ เมื่อมีการทำรัฐประหาร ความรู้สึกที่ว่าการต่อต้านสรุปแล้วพยายามหาทางออกหรือเพิ่มขึ้น มันสำคัญตรงที่เมื่อการเมืองเปลี่ยน เริ่มมีกลุ่มต่อต้าน ซึ่งเป็นกลุ่มแรกที่ปรากฎบนอินเตอร์เน็ต สุดท้ายก็คือว่าการเมืองในอินเตอร์เน็ตมันซับซ้อนมากขึ้น เมื่อก่อนที่จะมีกฎหมายต่าง ๆ นั้น สังคมก็เรียกร้องว่าการที่ออกมาถกเถียงกันนั้นมีตัวตนจริงหรือเปล่า คุณเป็นใครในอินเตอร์เน็ต ซึ่งพื้นฐานสังคมเหล่านี้มันรองรับโครงสร้างกฎหมายบางอย่าง หลังจากนั้นการเมืองอินเตอร์เน็ตมันเฟื่องฟูมากขึ้น รัฐก็อยากจัดระเบียบให้ได้ แต่คนยุคใหม่มันเหมือนว่าไม่มีที่จะไป คนเลยเข้าไปอยู่ในนั้นกันหมด ท้ายที่สุดเป็นพื้นที่ในการต่อสู้ที่สลับซับซ้อน
ขณะที่ในมุมมองของนักวิชาการทางด้านกฎหมาย อย่างอาจารย์สาวตรี สุขศรี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เชื่อม โยงประเด็นที่ว่าอินเตอร์เน็ตกับการเมือง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ กับการเมือง และพรบ.คอมพิวเตอร์กับอินเตอร์เน็ต ว่าในที่สุดแล้วทั้งหมดทั้งมวลเกี่ยวข้องกันอย่างไร ทั้งในระดับระหว่างประเทศและระดับประเทศ แท้จริงแล้วอินเตอร์เน็ตเป็นช่องทางในการสื่อสารที่มีอิทธิพลอย่างมากกับการ เมืองการปกครอง มีปัจจัยในรูปแบบบริการ
ไม่ว่า social network, blog ฯลฯ ต่อมามันมีเนื้อหาที่ถูกทำให้ปรากฎมันมีลักษณะเป็นการเมือง ที่ไม่ใช่ในยุคหลังด้วยซ้ำไป เพราะการก่อให้เกิดอินเตอร์เน็ตนั้นมันมาจากการเมือง เพื่อเพิ่มช่องทางในการติดต่อสื่อสารในการรบ ให้ต่อเนื่อง แม่นยำ สมัยเมื่อสงครามของอเมริกาหรือสมัยสงครามโลก เกิดการคิดค้นเครือข่ายต่าง ๆ ขึ้นมา ฉะนั้นการเริ่มต้นของอินเตอร์เน็ตมันเข้าไปเกี่ยวพันกับการเมืองแล้ว
นอกจากนี้อินเตอร์เน็ตได้เข้าไปมีอิทธิพลในวงการการศึกษา หรือบันเทิง ถูกนำมาใช้มากขึ้น กับบทบาทของสื่อทางเลือก ถูกนำมาใช้ในทางการเมืองมากขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะการเมืองในประเทศของแต่ละประเทศ ที่สำคัญก็คือว่ามันไม่ใช่การเมืองของภาครัฐแล้ว แต่กลับเป็นสื่อพลเมืองแทน เราจึงปฎิเสธไม่ได้ว่าอินเตอร์เน็ตถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งทาง การสื่อสาร ฉะนั้นมันมีความเกี่ยวพันกันอย่างแยกไม่ออก แต่ก็จะหนักไปทางที่ว่าอินเตอร์เน็ตที่ถูกจัดว่าเป็นสื่อทางเลือกนั้นจะอยู่ ตรงข้ามรัฐบาล ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลบางประการมีพื้นที่ในการแสดงออกมากขึ้น ที่สำคัญคือตอบรับอุดมการณ์ทางประชาธิปไตย และมีกระบวนทัศน์ใหม่ที่ต่างจากสื่อกระแสหลัก
"ในประเทศไทยก่อนหน้านี้ก็หนักไปในเรื่องบันเทิง พอยุคปลายทักษิณมันมีองค์ประกอบที่ว่าคนเข้าถึงอินเตอร์เน็ตมากขึ้น ต่อมาคือหลังจากการรัฐประหารแล้วคนก็เริ่มอึดอัดใจในทางการเมืองมากขึ้น สื่อกระแสหลักมันลดทอนความหลากหลายลง มันเป็นเอกภาพของฝ่ายเดียว ซึ่งในทางประชาธิปไตยมันจะมีความเห็นในทิศทางเดียวกันไม่ได้ สุดท้ายมันมีพฤติกรรมของรัฐบางประการที่ใช้อำนาจปิดกั้นสื่อหรือแทรกแซงสื่อ เพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัจจัยหรือองค์ประกอบเหล่านี้ย่อมทำให้อินเตอร์เน็ทเข้ามามีบทบาททางการ เมืองและเข้ามาประสานงานกับบริการรูปแบบใหม่ ๆ อย่างเช่นเฟซบุ๊คหรือทวิตเตอร์"
แต่ก่อนอินเตอร์เน็ตกับการเมืองมีคนเข้าดูไม่กี่กลุ่มหรือมีไม่กี่บล็อค แต่ต้องยอมรับว่าบางทีคนไทยก็เบื่อกับการอ่านอะไรที่ยาวเกินไป พอเจอพวกเทคโนโลยีใหม่ ๆ มันก็เลยแพร่หลาย แต่ก็ไม่เหนือไปจากกลุ่มโทรทัศน์และวิทยุ เพราะมันยังเป็นกลุ่มเล็ก ๆ อยู่ แต่การเข้าถึงมันมีจุดแข็งมากกว่า โดยที่ผู้ใช้อำนาจรัฐต้องเกรงกลัวบางมุม ก็อย่างเช่น การมีซอกลึกลับ ทำให้คนที่คิดเหมือนกันเข้ามาเจอกันได้ บางคนไมเคยพบเจอกันมาก่อน แล้วรัฐก็ไม่สามารถปิดได้
พูดง่าย ๆ คือ "ฆ่าไม่หมด" อันต่อมาคือ คนที่เข้าไปใช้อินเตอร์เน็ตนั้นมันมีอะไรบางอย่าง อาจจะมีเงิน มีเวลา มีการศึกษา ซึ่งคนเหล่านั้นอาจจะไม่รู้เรื่องการเมืองเลย หรือรู้น้อย แต่รัฐมักจะมองว่ามีอิทธิพลที่ส่งผลกระทบต่อรัฐ จุดแข็งต่อมาคือ อินเตอร์เน็ตมันเป็นเครื่องมือสื่อสารที่สำคัญกันคนต่างประเทศได้ดี มีศักยภาพ สุดท้าย การเมืองอินเตอร์เน็ตสามารถกระจายข่าวได้เร็ว กว่ารัฐจะรู้ตัวก็สายเกินไปแล้ว
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ขาดไม่ได้คือเรื่อง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ซึ่งเป็น 1 ใน 6 ของพ.ร.บ.ทางด้านเทคโนโลยี แต่ก่อนเมื่อมีการร่างเมื่อ พ.ศ.2541 ก่อนที่จะนำมาบังคับใช้จริงเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไม่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องการเมืองเลย แต่ที่เกิดมาได้เพราะกระแสอาชญากรรมทางด้านคอมพิวเตอร์ในต่างประเทศเท่านั้น แต่ก่อนที่จะออกมาจริงแล้ว มาตรา 14 เป็นเนื้อหาว่าด้วยการปลอมแปลงข้อมูล ส่วนมาตรา 15 เพิ่มการรับผิดของตัวกลางและผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต ได้รับโทษเท่ากับคนที่นำเนื้อหามาใส่ สิ่งที่เกี่ยวกับการเมืองจริง ๆ แล้วคือเนื้อหาที่เพิ่มเข้ามาในมาตราที่ 14 ที่ว่าข้อมูลที่ใส่เข้าไปนั้นขัดต่อความมั่นคงต่อรัฐ นั่นแสดงว่าการเมืองเข้ามาแล้ว พอหลังจากช่วงการแปรญัญติของ ครม. มีอีกมาตราคือ มาตรา 20 มีการปิดกั้นเข้าสื่ออินเตอร์เน็ต
"พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จะไม่สามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเลยถ้าไม่ไปผนวกกับความคลุมเครือใน กฎหมายเรื่องอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันที่เป็นปัญหาที่สุดก็คือ มาตรา 112 หารหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แต่ก็ไม่ได้มีการประมวลว่าการใช้พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฯ ประกอบกับมาตรา 112 มีกี่คดี ภาครัฐก็ไม่เปิดเผยด้วย แต่ความคลุมเครือที่มีมาโดยตลอดและยังไม่ได้รับการแก้ไขก็คือมาตรา 112 ในประมวลกฎหมายอาญา ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของการตีความว่าอะไรคือการหมิ่น แง่ต่อมาก็คือว่าผู้เสียหายที่จะร้องทุกข์นั้นทุกท่านมีสิทธิ์ร้องได้ แน่นอนไม่ได้แค่ประเด็นหมิ่น แต่ไว้ใช้เล่นงานฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง"
อย่างไรก็ตามอินเตอร์เน็ตก็ย่อมส่งผลซึ่งกันและกันกับทางการเมืองอย่าง แยกไม่ออก และจากการนำเสนอในครั้งนี้เป็นเพียงมุมมองหนึ่งซึ่งผู้อ่านจะต้องวิเคราะ ห็ด้วยว่าเหตุและผลของอินเตอร์เน็ตกับการเมืองที่นอกเหนือจากนักวิชาการนั้น มันมีอะไรที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง หรือสิ่งที่เป็นผลเสียจะแก้ไขได้อย่างไรเพื่อให้อินเตอร์เน็ตกับการเมือง นั้นอยู่คู่กันได้อย่างมีประสิทธภาพ
โดย :ดร. พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ -อาจารย์สาวตรี สุขศรี
ขอบคุณที่มา : มติชนออนไลน์

การสร้างบทความ (Post)

ส่วนของการสร้างบทความให้เข้าไปที่ "การส่งบทความ" หัวข้อ "สร้าง" ให้เพื่อนๆทำความเข้าใจเมนูและเครื่องมือต่างๆ ของการสร้างบทความใน Blogger เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน
ความเข้าใจเบื้องต้นในการสร้างบทความ
การสร้างบทความใช้พื้นฐาน Microsoft word คือเขียนอย่างไรก็จะออกมาอย่างนั้น แบ่งออกเป็น 2 ส่วนส่วนของ "เขียน"
ในส่วนนี้จะเหมือน Microsoft Word เกือบทุกๆอย่าง อยากเขียนอะไร อยากใช้ตัวหนา ตัวเอียง การใส่ Link เพียงแค่คลิ๊กเมนูการใช้งานด้านบน มีข้อเสียคือ เวลา Copy อะไรก็ตามแล้วนำมา Paste ลงในนี้ ลักษณะของของตัวอักษรจะเหมือนกับต้นแบบที่ Copy มาทุกอย่างครับ

ส่วนของ "HTML" ส่วนนี้ต้องใช้ความรู้พอสมควรในการปรับแต่เนื้อหาหรือบทความที่เราเขียนให้เป็นไปตามที่เราตั้งใจ ซึ้งต้องใช้ความรู้ภาษา HTML พอสมควร แต่ไม่ได้ยากเท่าไรครับ ข้อดีคือ สามารถปรับตามความต้องการของเราได้ทุกอย่าง เมื่อ Copy อะไรมาวาง ลักษณะตัวอักษรจะถูกปรับเป็นตัวอักษรปกติของบล๊อกเราครับ
ข้อสังเกตุ:
การ Copy อะไรมาวางถ้าไม่อยากให้ลักษณะผิดเพี้ยน ไม่ตรงตามรูปแบบที่สวยงาม ให้้ Copy แล้วทำมา Paste ในส่วนของ HTML ครับ ข้อความทั้งหมด จะถูกปรับให้การแสดงผลเป็นค่าปกติของบล๊อกเรา ไม่ใช่ตามลักษณะต้นแบบที่เรา Copy มาครับ


เครื่องมือต่างๆ ในการสร้างบทความ
Blogger มีเครื่องมือต่างๆมากมาย เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเขียบบทความได้ตามรูปแบบที่ตั้งใจ ดูตามดังรูปเลยครับ















1. แบบอักษร สามารถเลือกตัวอักษรได้ตามต้องการ
2. ปรับขนาดตัวอักษร ปรับขนาดความใหญ่หรือเล็กลง
3. ตัวหนา
4. ตัวเอียง
5. สีของตัวอักษร
6. ทำ Link ให้ข้อความ เราสามารถสร้าง Link ให้ข้อความได้โดยการ คลิ๊กคลอบข้อความที่เราต้องการแล้วกดที่เมนูนี้ ระบบจะให้ทำการใส่ URL (ที่อยู่ของ Link เช่น www.snook.com) เมื่อคลิ๊กที่ข้อความจะถูกส่งไปยังหน้าเว็บที่เราใส่ Link เข้าไป
7. ทำบทความให้ชิดซ้าย
8. ทำบทความให้อยู่กึ่งกลาง
9. ทำบทความให้ชิดขวา
10. ทำบทความให้ชิดทั้งขอบซ้ายและขวา
11. ทำรายการเรียงลำดับเป็นตตัวเลข
12. ทำรายการเรีนงลำดับเป็นจุด
13. ใส่ "," ให้กับข้อความที่ต้องการเน้นคำพูด
14. เพิ่มรูปภาพลงในบทความของเรา ระบบจะให้เราอัพโหลดไฟล์รูปภาพจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา สามารถปรับขนาดและจัดรูปแบบให้อยู่ ซ้าย,กลาง,ขวา ได้
15. เพิ่ม Video เข้าไปในบทความของเราเช่นเดียวกับรูปภาพครับ
16. ส่วนนี้เป็นการลบข้อความที่เราเขียนผิดพลาด ในส่วนนี้ไม่ค่อยได้ใช้เท่าไร หรือไม่ได้ใช้เลยก็ได้
17. แก้ไข HTML ส่วนนี้ต้องใช้ความรู้พอสมควรในการปรับแต่เนื้อหาหรือบทความที่เราเขียนให้เป็นไปตามที่เราตั้งใจ ซึ้งต้องใช้ความรู้ภาษา HTML พอสมควร
18. หน้าที่ใช้เขียนบทความเหมือนการใช้งาน Microsoft Word
19. แสดงตัวอย่างที่เราเขียนบทความ
20. การใส่หัวข้อเรื่อง เช่น เรื่อง "การตกแต่งบ้างโดยใช้ต้นไม้ประดับ" หัวข้อก็คือ การตกแต่งบ้าน (บ่งบอกให้รู้ว่าเรื่องเกี่ยวกับอะไร)
21. ทำการเผยแพร่บทความทันที บทความจะแสดงหน้าบล๊อกของเราทันที่ที่เราเผยแพร่
22. บันทึก เป็นการบันทึกบทความไว้ก่อน จะยังไม่แสดงในหน้าบล๊อกของเรา เหมือนการร่างบทความ เราสามารถเข้าไปปรับเปลี่ยนทีหลังได้ใน "การแก้ไขบทความ"

การเขียนบทความที่ดี
เขียนสั้นๆได้ใจความ
อย่าทำให้ผู้อ่านลายตา
ใช้ประโยคเป็นกันเอง เหมือนเล่าเรื่อง (แล้วแต่เนื้อหาบทความ)
ชื่อเรื่องน่าอ่าน
มีสไตล์เป็นของตัวเอง
ทบทวนเรื่องราว เช่นเขียนดูไหม อ่านแล้วเป็นยังไง สะกดผิด เขียนผิดหรือปล่าว

http://itoeblog.blogspot.com/2009/05/post.html

เขียนโดย Ajthanadol Phuseerit ; วันที่28มีนาคม 2554